SEO คืออะไร เป็นคำถามที่หลายคนอาจกำลังสงสัย โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่อาจเคยได้รับคำแนะนำหรือรับฟังเกี่ยวกับเรื่อง SEO มาบ้าง ว่า SEO จะช่วยให้สินค้าหรือบริการสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น แต่หลายท่านก็อาจจะยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ SEO ให้มากยิ่งขึ้น SEO คืออะไร มีลักษณะการทำงานแบบไหน และสำคัญอย่างไรกับธุรกิจ ไปหาคำตอบพร้อมกันได้ในบทความนี้
การทำ SEO คืออะไร
ยุคดิจิทัลอย่างในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอินเทอร์เน็ตคือส่วนหนึ่งที่สำคัญในการดำรงชีวิต ผู้คนอาศัยค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก เมื่อต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการใด ๆ เราแค่เพียงคลิกเข้าไปใน Search Engine อย่าง Google ก็สามารถเริ่มต้นค้นหาได้ในทันที ดังนั้น การที่สินค้าหรือบริการของเราขึ้นอยู่อันดับแรก ๆ ในหน้าแสดงผลการค้นหา ก็จะยิ่งทำให้ลูกค้ามีโอกาสเห็นเราได้มากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาว่าทำไมธุรกิจในปัจจุบันจึงควรทำ SEO
แล้วการทำ SEO คืออะไร? การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ จนสามารถติดหน้าแรกบนหน้าแสดงผลการค้นหาของ Google ได้ด้วยวิธีการธรรมชาติและไม่ต้องพึ่งการทำโฆษณา โดยการทำ SEO ให้สำเร็จนั้นมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความปรับปรุงคอนเทนต์โดยเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การปรับปรุงหน้าเว็บให้ user-friendly มากขึ้น รวมถึงการออกแบบเนื้อหาให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า เป็นต้น โดยการทำ SEO นั้นอาจต้องใช้เวลาสักระยะจนกว่าเว็บไซต์จะติดอันดับต้น ๆ ได้สำเร็จ
SEO ย่อมาจากอะไร
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization ตามความหมายของชื่อ SEO ก็คือการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้เว็บไซต์ขึ้นบนอันดับแรก ๆ ของหน้าแสดงผลการค้นหาบน Search Engine โดยการจะทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นบนอันดับแรก ๆ ได้นั้น คุณจะต้องปรับแต่งเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ Search Engine นั้น ๆ ด้วยเช่นกัน
เมื่อเว็บไซต์ของคุณแสดงเป็นอันดับต้น ๆ ของ Search Engine ได้แล้วนั้น ก็จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ กล่าวคือจะทำให้มี Organic Traffic เพิ่มมากขึ้น คือมีปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น จากการที่พวกเขาเห็นเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ ยิ่งถ้าหากเราทำเว็บไซต์ที่มีความน่าสนใจ ก็จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจออนไลน์ที่จะได้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ได้มากขึ้นด้วยนั่นเอง
SEO มีกี่ประเภท
การทำ SEO นั้นมีหลัก ๆ อยู่ 3 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ On page SEO, Off page SEO และ Technical SEO ซึ่งถ้าหากคุณต้องการทำให้แคมเปญ SEO ของเว็บไซต์คุณมีประสิทธิภาพสูงสุด คุณจำเป็นจะต้องทำ SEO ทั้ง 3 ประเภทไปพร้อม ๆ กัน โดยเราจะไปทำความรู้จักกับ ประเภทต่าง ๆ ของ SEO กันมากขึ้นที่ด้านล่างของบทความนี้
หลักการทำ SEO ทำอย่างไร
ในการทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณให้ประสบความสำเร็จ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ไปกว่าข้ออื่น ๆ ก็คือ บทความ คอนเทนต์ หรือดีไซน์ที่มีคุณภาพบนเว็บไซต์ ซึ่งในแต่ละบทความก็จะมีโครงสร้างและวิธีการเขียนที่ตรงตามหลักเกณฑ์ของ Google และองค์ประกอบ HTML โดยองค์ประกอบพื้นฐานบนเว็บไซต์ทั่วไป จะมีส่วนสำคัญหลัก ๆ อยู่ 3 ส่วนด้วยกัน นั่นก็คือ Header, Body และ Footer
Header คือบริเวณด้านบนสุดของเว็บเพจ ที่มักจะเป็นส่วนแสดงโลโก้ ชื่อเว็บไซต์ Navigation Bar ต่าง ๆ ที่จะพาเราไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บของคุณได้ และส่วนนี้เอง ที่จะเป็นตัวกำหนดดีไซน์ และสไตล์ต่าง ๆ บนเว็บของคุณอีกด้วย
Body คือส่วนตรงกลางของหน้าเว็บเพจ ที่เป็นพื้นที่ไว้สำหรับใส่ข้อมูลหรือเนื้อหาต่าง ๆ ที่เราต้องการสื่อสาร โดยจะประกอบไปด้วยบทความ ข้อมูล รูปภาพ วิดีโอ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เราต้องการสื่อสาร
Footer คือด้านล่างสุดของเว็บไซต์ที่มักจะใส่ลิงก์ไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บของเรา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเสริมที่ไม่ได้มีความสำคัญมาก เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร สำหรับการติดต่อ เป็นต้น
เมื่อเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานเหล่านี้แล้ว คุณก็จะสามารถออกแบบหน้าเว็บเพจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อมีผู้เข้าใช้งานคลิกเข้ามา การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีก็จะช่วยให้เขาอยู่ในเว็บเรานานยิ่งขึ้น ส่งผลต่อ Ranking บนเว็บไซต์ของเรานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หลักการทำ SEO นั้นมีหลัก ๆ อยู่ 5 ขั้นตอนด้วยกัน ได้แก่
- การกำหนดจุดประสงค์ในการทำ SEO
ก่อนเริ่มปรับปรุงเว็บไซต์ คุณควรจะต้องมีจุดประสงค์ในการทำ SEO ที่ชัดเจนเพื่อให้การทำงานหลังจากนี้จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเว็บไซต์ การปรับแต่ง UX & UI รวมถึงการเลือกคีย์เวิร์ดที่จะใส่ไปในบทความด้วยเช่นกัน
- เลือกหน้าเว็บที่คุณต้องการทำ SEO
การจะทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงเป็นอันดับต้น ๆ ของหน้าแสดงผลการค้นหาได้นั้น ไม่ใช่ว่าทำเพียงหน้าเดียวแล้วจะสำเร็จ คุณควรคำนึงว่ามีหน้าใดอีกบ้างที่ควรปรับปรุง แม้ส่วนใหญ่ธุรกิจต่าง ๆ จะเน้นทำที่หน้าแรก หรือ Home Page แต่อย่าลืมว่ายังมีหน้าอื่น ๆ ที่ผู้เข้าชมอาจต้องการเข้าไปอ่านด้วยเช่นกัน
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์
SEO Audit หรือการตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์เป็นสิ่งที่คุณควรทำเพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งการตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์นั้นครอบคลุมไปถึง Page Speed หรือความเร็วหน้าเว็บไซต์ด้วยเช่นกัน
- ปรับปรุงเนื้อหาบทความหรือคอนเทนต์ในเว็บไซต์
มาถึงข้อที่ 4 ที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น ๆ เพราะการปรับปรุงเนื้อหาคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงเป็นส่วนหลักที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณไต่ขึ้นมาอยู่ลำดับแรก ๆ ได้ ซึ่งคอนเทนต์จะต้องมีประโยชน์ และมีการใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับคอนเทนต์นั้น ๆ ด้วยเช่นกัน
- วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อแก้ไขปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณทั้งหมดแล้ว อย่าลืมที่จะหมั่นวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก insight หลังบ้านด้วยเช่นกัน รวมถึงอัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ เพราะ algorithm ของ Google มีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงอาจมีการปรับคีย์เวิร์ด และทำคอนเทนต์ที่ทันสมัยอยู่ตลอด
SEO content คือ
ต่อเนื่องจากเนื้อหาด้านบน ตามที่เราได้เกริ่นไปข้างต้นว่าคอนเทนต์และบทความที่มีคุณภาพดีจะช่วยเรื่องลำดับของ SEO ด้วยเช่นกัน คอนเทนต์ ก็คือเนื้อหาต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณ ทั้งที่เป็นรูปแบบของบทความตัวอักษร รูปแบบภาพ และรูปแบบวิดีโอ SEO Content จึงหมายถึงการสร้างบทความที่มีคุณภาพที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งสร้างคุณค่าให้กลุ่มเป้าหมายของคุณได้ จึงต้องมีการวางแผนทำ SEO Content Marketing ที่มีความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะเริ่มจากการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่ลูกค้าอยากทราบ รวมถึงคอนเทนต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ นอกจากนี้ ประเภทของ SEO Content ก็มีหลากหลายประเภทด้วยกัน ดังนี้
- คอนเทนต์ที่ให้ความรู้แก่คนอ่าน เช่น บทความ บทสัมภาษณ์ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจคุณ
- คอนเทนต์แยกประเภทเป็นหัวข้อ เป็นประเภทของคอนเทนต์ที่ดึงดูดผู้อ่านได้เป็นอย่างดี เพราะมีการแบ่งประเด็นออกเป็นหัวข้อชัดเจน เช่น 5 วิธี เลือกรองเท้า ให้เหมาะสมกับรูปเท้าเรามากที่สุด
- คอนเทนต์ฮาวทู หรือคอนเทนต์แนะนำให้ลองทำตาม
- คอนเทนต์รูปแบบวิดีโอ
- Infographic
- Carousel content หรือ slideshow
เมื่อเรามีกลยุทธ์สำหรับเนื้อหา SEO Content แล้ว ในการเขียนคอนเทนต์ก็ควรมีการแทรกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยเราจะอธิบายเรื่องคีย์เวิร์ดอย่างละเอียดอีกครั้งที่ด้านล่างบทความนี้
On-page SEO คือ
On-page SEO ก็คือการจัดการ ปรับปรุง และแก้ไขเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและคำแนะนำของ Google ทุกข้อ เพื่อให้ Google สามารถนำข้อมูลบนเว็บไซต์ของเราไปจัดเก็บและประมวลผลให้ผลการค้นหาบนหน้า Search Engine ออกมามีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ On-page SEO ยังเป็นประเภทของ SEO ที่จัดทำได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นการทำบนเว็บไซต์ของเราเอง ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ รูปแบบการนำเสนอ รวมถึงการออกแบบ UX/UI ได้ตามที่คุณต้องการ และที่สำคัญ อย่าลืมคำนึงถึงความต้องการของผู้เข้าชม ว่าคอนเทนต์แบบไหนที่เขาคาดหวังที่จะได้รับจากการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
Off-page SEO คือ
Off-page SEO เป็นวิธีการทำ SEO โดยการจัดการปัจจัยภายนอก เพื่อปรับปรุงตำแหน่งของเว็บไซต์ในหน้าแสดงผลการค้นหาให้ดีขึ้น ซึ่งการทำ Off-page SEO ก็อย่างเช่น การนำลิงก์คอนเทนต์บนเว็บไซต์ของเราไปเผยแพร่บนเว็บไซต์อื่น ๆ ภายนอก ให้ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้เรามีผู้เข้าชมเว็บมากขึ้น หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า backlink นั่นเอง ซึ่งการทำ Off-page SEO จะช่วยทำให้คุณสมบัติของเว็บไซต์คุณมีค่าสูงขึ้นและแสดงผลใน search engine อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการจดจำจากภายนอกได้อีกด้วย
นอกจาก On-page และ Off-page แล้ว ก็ยังมี Technical SEO อีกด้วย ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น Technical SEO ก็คือการทำ SEO ในเชิงเทคนิคสำหรับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ เพื่อให้บอทของ Google สามารถค้นหา รวบรวม และจัดทำดัชนีหน้าเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งการทำ Technical SEO นี้ จำเป็นจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ หรือนักพัฒนาเว็บไซต์มาปรับปรุงให้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Backlink คือ
กระบวนการหนึ่งที่สำคัญสำหรับการทำ SEO นั่นก็คือการทำให้ลำดับเว็บไซต์ของคุณไต่ขึ้นมาที่หน้าแรกของ Google หรือที่เรียกว่า การทำ Link Building นั่นเอง Backlink เป็นส่วนหนึ่งของการทำ Link Building คือการที่เว็บไซต์อื่น ๆ นำลิงก์คอนเทนต์บนเว็บไซต์เราไปเผยแพร่บนช่องทางนั้น ๆ เพื่อให้คนคลิกลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา วิธีนี้จะช่วยให้เว็บของเรามีคนเข้ามาเยี่ยมชมเยอะมากขึ้น จากการคลิกลิงก์ผ่านเว็บไซต์อื่น ๆ เข้ามานั่นเอง
การทำ backlink นั้นสำคัญมากหากคุณต้องการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ของคุณ เนื่องจาก Google เป็นผู้บริการ Search Engine ยอดนิยม ทำให้มีเว็บไซต์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเดียวกับเว็บไซต์ของคุณอยู่อย่างมหาศาล และไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่จะเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ Google จึงมี Bot เข้ามาช่วยให้ผู้ใช้งานค้นเจอเว็บใหม่ ๆ ผ่านลิงก์ที่เราใส่เอาไว้ จึงต้องมีข้อกำหนดที่ซับซ้อนและเข้มงวด ในขณะที่ Algorithm เองก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาเช่นกัน
นอกจากนี้ Google จะมีการคิดคะแนนให้กับเว็บไซต์นั้น ๆ ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งมีผลต่อ Ranking ของเว็บไซต์บนหน้าแสดงผลการค้นหา ในการกำหนดเกณฑ์นี้ Google จะดูจากเครือข่ายของเว็บว่าเรามีลิงก์ออกไปยังเว็บอื่น ๆ มากหรือน้อยแค่ไหน รวมถึงมีการถูกลิงก์เข้ามาจากเว็บไซต์ภายนอก (Backlink) มากหรือน้อยเพียงใด
มากไปกว่านั้น การทำ backlink มีปัจจัยสำคัญอยู่ด้วยกัน 3 ปัจจัย ได้แก่
- สร้าง backlink ให้มีประสิทธิภาพด้วยการนำเสนอคอนเทนต์ที่น่าสนใจ รวมทั้งนำไปเผยแพร่บนเว็บไซต์อื่น ๆ (Guest Posting)
- การสร้าง Backlink คุณจำเป็นที่จะต้องเลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้ Backlink ที่มีคุณภาพย้อนกลับมายังเว็บของเรา
- ลิงค์ที่ดีควรเป็นลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกับเว็บไซต์ของคุณ หรือควรมีเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา
มากไปกว่านั้น ในยุคที่ทุกคนต่างก็ใช้ช่องทาง Social Media ในการสื่อสาร Social Media จึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่สามารถช่วยสร้างการจดจำให้กับแบรนด์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น เพราะจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเว็บไซต์ของคุณกันอย่างเป็นวงกว้างมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยนำ traffic กลับมายังเว็บไซต์ของคุณได้อีกด้วย
วิธีการทำ SEO ขั้นพื้นฐาน
ในการทำ SEO ขั้นพื้นฐานนั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องคำนึงถึงเลยนั่นก็คือ เราจะต้องเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าของเราต้องการค้นหาอะไรบน Google โดยอาจจะอาศัยเครื่องมือต่าง ๆ ในการช่วยวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ด คำ หรือข้อมูลใดที่ลูกค้ามักใช้ค้นหา ซึ่งหลังจากที่เราวิเคราะห์ได้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการรู้อะไร เราก็ต้องมาวางแพลนการทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์พร้อมทั้งปรับปรุงเว็บเพจให้เอื้อต่อการค้นหา ทั้งการตั้งชื่อ title ด้วยคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพ การเขียน meta description ที่มีใจความกระชับพร้อมคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม และ meta title ที่สั้น ๆ น่าสนใจและต้องมีคีย์เวิร์ดด้วยเช่นกัน
จากนั้น คุณจะต้องทำเว็บไซต์ให้เอื้อให้คนและระบบของ Google เข้าถึงเว็บของเราได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นความเร็วของการโหลดเว็บไซต์, การปรับแต่งหน้าเว็บให้ mobile-friendly, ทำแผนผังเว็บไซต์ (sitemap) และการจัดทำ Internal link หลังจากปรับปรุงทุกอย่างที่อยู่ในเว็บของคุณเรียบร้อย การทำ Backlink อย่างที่เราได้อธิบายไปเมื่อข้างต้น ก็เป็นเคล็ดที่ช่วยให้ทำ SEO สำเร็จได้ ท้ายที่สุด อย่าลืมติดตามความเปลี่ยนแปลงด้าน SEO ของเว็บไซต์ผ่านการประเมิน Organic Traffic ที่การเข้าชมเว็บไซต์มาจากการที่คนค้นหาใน Google แล้วเจอลิ้งค์เว็บจึงกดเข้ามาดูนั่นเอง
ขั้นตอนการทำ SEO
ในการทำ SEO ขั้นต้น มีขั้นตอนด้วยกันทั้งหมด 6 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้
- เข้าใจหลักการทำงานของ Search Engine
- ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับเนื้อหาและเว็บไซต์
- ออกแบบ Site Structure หรือโครงสร้างเว็บไซต์
- ปรับแต่งความเร็วของเว็บเพจและเนื้อหาบนเว็บด้วย On-Page SEO
- เริ่มการทำ Link Building และ Backlink คุณภาพ
- ตรวจสอบอันดับบน Search Engine
หลังการทำ SEO เรียบร้อยแล้ว คุณจำเป็นจะต้องตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ของคุณ เพื่อวัดผลลัพธ์ด้วยเช่นกัน โดยในปัจจุบัน เรามีบริการมากมายที่จะช่วยคุณตรวจสอบอันดับของเว็บคุณได้อย่างรวดเร็ว เช่น Incognito Mode ใน Google, Google Search Console, และ Ubersuggest เป็นต้น
SEO มีความสำคัญอย่างไร
SEO สำคัญอย่างไร แล้วทำไมเราถึงต้องทำ SEO คงเป็นคำถามที่เจ้าของธุรกิจมักจะถามอยู่ในใจเสมอเมื่อใคร ๆ ก็บอกให้ทำ SEO อย่างไรก็ตาม เราก็คงต้องขอยืนยันอีกเสียงว่า การทำ SEO นั้นสำคัญจริง ๆ สำหรับธุรกิจยุคออนไลน์อย่างเช่นในปัจจุบัน เพราะโดยส่วนใหญ่ผู้คนมักจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่พวกเขาสนใจผ่าน Search Engine อย่าง Google เป็นหลัก อีกทั้งในโลกของอินเตอร์เน็ตก็มีจำนวนเว็บไซต์อยู่มากมายนับไม่ถ้วนซึ่งรวมไปถึงเว็บไซต์คู่แข่งทางธุรกิจของคุณด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องการให้เว็บไซต์ของเราแสดงอยู่บนหน้า Google เป็นลำดับแรก ๆ เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเห็นแบรนด์ของเราทุกครั้งเมื่อ search ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ โดยใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องนั่นเอง
พูดง่าย ๆ ก็คือ การทำ SEO นั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้าง Brand Awareness, เพิ่ม Brand Visibility และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้เท่านั้น แต่การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพนั้นยังช่วยให้ธุรกิจของคุณมีข้อได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งอีกด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลไปยังยอดขายที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
SEO สำหรับ เว็บไซต์ (SEO Website)
เว็บไซต์เป็นเหมือนหน้าตาของบริษัท ที่จะมีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าเมื่อลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชม ดังนั้น การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ดูสวยงาม มีฟังก์ชันการใช้งานและ UX/UI ที่ดี รวมถึงมีการทำ SEO ให้เว็บติดอันดับบน Google ก็จะยิ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าได้ อย่างไรก็ตามหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำ SEO บนเว็บไซต์ให้ประสบผลสำเร็จได้ นั่นก็คือการเขียนบทความและลง blog ที่มีประสิทธิภาพและมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของลูกค้า โดยในบทความจะต้องมีการใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมนั่นเอง ไปดูกันว่าคุณสมบัติของคีย์เวิร์ดที่ดีนั้นมีอะไรบ้าง
- Keyword จะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ประเภทของสินค้าหรือบริการ ปัญหาที่ลูกค้ามักเจอก่อนซื้อสินค้าของคุณ รวมถึงบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายรองเท้า หากใช้คีย์เวิร์ดว่า รองเท้า อาจจะกว้างเกินไป คุณอาจใช้คีย์เวิร์ดที่เจาะจงลงมา เช่น รองเท้าหุ้มส้นพร้อมส่ง หรือรองเท้าวิ่งผู้หญิง เป็นต้น
- Keyword จะต้องมีคนใช้ค้นหา ซึ่งบางครั้งอาจไม่ได้อยู่ในรูปประโยคที่ถูกต้องนัก แต่มักเป็นคำหรือประโยคที่คนส่วนใหญ่ใช้คนหาจริง ๆ ซึ่งในปัจจุบันก็มีบริการมากมายที่จะช่วยคุณดู volume ของการค้นหาคีย์เวิร์ดนั้น ๆ หลายบริการอยู่ด้วยเช่นกัน เช่น Google Ads, Semrush, หรือจะเป็นเครื่องฟรีจาก Google อย่าง Google Trend เป็นต้น
- Keyword ที่ใช้เป็น Keyword ประเภท High Commercial Intent หรือคีย์เวิร์ดที่เจาะจงลงไปอีกขั้น โดยที่ลูกค้ามักจะใส่ความต้องการของตัวเองลงไปเลย เช่น รองเท้าผ้าใบผู้หญิง แบรนด์ ราคาถูก
หลังจากที่มีการทำคอนเทนต์คุณภาพสูงพร้อมใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมาปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เป็นมิตรและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีการทำ Off page SEO ที่เป็นการฝากลิงก์ของเราไว้ที่เว็บอื่น ๆ หรือแพลตฟอร์มในการสื่อสารอื่น ๆ ของแบรนด์เพื่อให้ลูกค้ากดเข้ามาเว็บไซต์ให้มากขึ้นอีกด้วย
SEO สำหรับ Facebook (SEO Facebook)
อ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจจะคิดว่าการทำ SEO นั้นสามารถทำได้แค่เพียงในเว็บไซต์เท่านั้น แต่ที่จริงแล้วการทำ SEO นั้นสามารถทำบนแพลตฟอร์ม Social Media อื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น Facebook หนึ่งในแพลตฟอร์ม Social Media ยอดนิยมในประเทศไทย ก็เป็นแพลตฟอร์มที่เราสามารถทำ SEO ได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจที่ยังไม่มีหน้าเว็บไซต์ ก็สามารถใช้ Facebook เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร รวมถึงเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้
สถิติจาก Hootsuite บอกว่า ในประเทศไทย มีบัญชี Facebook อยู่กว่า 50 ล้านบัญชี จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Facebook เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ธุรกิจต้องเข้ามามีส่วนร่วมถ้าไม่อยากพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่ง แต่การทำ SEO สำหรับเพจใน Facebook จะมีขั้นตอนอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลย
- วิเคราะห์และเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสมสำหรับการทำ SEO
- คีย์เวิร์ดที่ดีคือคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะใช้ค้นหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ อย่างไรก็ตาม คุณควรระมัดระวังในการใช้คีย์เวิร์ดที่กว้างเกินไปเพราะอาจทำให้ลูกค้าค้นหาคุณเจอได้ยากยิ่งขึ้นใน Google เนื่องจาก Facebook ไม่สามารถปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ สำหรับการทำ SEO ได้เท่าเว็บไซต์ จึงควรใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจง อย่างที่เรารู้จักกันว่า Long-tail keyword นั่นเอง
- ตั้งชื่อแฟนเพจหลักและ URL ให้เหมาะสม
- สำหรับชื่อแฟนเพจ ก็ควรตั้งให้ตรงกับคีย์เวิร์ดที่ลูกค้ามักจะใช้สำหรับการค้นหาบน Search Engine เช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มโอกาสให้แฟนเพจของคุณได้ขึ้นเป็นอันดับบน ๆ ในหน้าแสดงผลการค้นหาของ Google
- ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจให้ครบถ้วน
- อย่าลืมใส่ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของคุณให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ เบอร์โทร หมวดหมู่ และถ้าหากมีเว็บไซต์ก็ควรใส่เว็บไซต์ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ สำหรับธุรกิจที่มี Facebook Business Profile แล้ว ควรไปลงทะเบียนโดเมนในหน้า Business Information เพื่อให้ Facebook รู้จักหน้าเว็บไซต์ของคุณ
- เพิ่มคำอธิบายภาพ (Alt Text)
- Alt text หรือ Alternative text คือคำอธิบายรูปภาพที่จะไม่ได้แสดงให้เราเห็น แต่มีไว้เพื่อให้ bot ของ Google เข้าใจว่ารูปนี้เกี่ยวข้องกับอะไร จึงจะช่วยดัน SEO ให้กับคุณ และอย่าลืมเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมใน Alt text ด้วยเช่นกัน
- เขียนบทความหรือทำคอนเทนต์ลงบนเพจ
- การเขียนบทความลงใน Facebook Note เปรียบเสมือนการเขียนบทความลงบนเว็บไซต์ เพราะคุณสามารถใส่ Meta Description H1, H2 หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SEO ได้เช่นเดียวกันกับบนเว็บไซต์นั่นเอง นอกจากนี้ คุณก็ควรใส่ internal link, external link ไปยังบทความ หรือโพสอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องบนแฟนเพจของคุณได้เช่นกัน เพื่อประสิทธิภาพของ Facebook SEO ที่ดีขึ้น
SEO สำหรับ YouTube (SEO YouTube)
YouTube คือบริการแพลตฟอร์มสำหรับ Video Sharing ที่เป็นที่ยอดนิยมเช่นกัน โดยมีข้อมูลจาก Hootsuite เปิดเผยว่า YouTube มีผู้เข้าชม เฉลี่ย 1.7 ล้านคนต่อเดือน และยังเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจาก Search Engine เจ้าดังอย่าง Google อีกด้วย หลายธุรกิจในยุคนี้จึงเลือกให้ YouTube เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มสำหรับการสื่อสารกับลูกค้า
การทำ YouTube SEO ก็เป็นอีกทางที่จะช่วยให้ลูกค้าที่เข้ามาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณได้เห็นแบรนด์ของคุณง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งการทำ YouTube SEO นั่นก็คือการปรับแต่ง Title, Description, ปกวิดีโอ และองค์ประกอบอื่น ๆ ของวิดีโอในช่องของคุณให้ตรงกับความสนใจของคนดูที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ลูกค้าจะสามารถค้นหาและพบเจอกับวิดีโอของคุณได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่าการทำ SEO บน YouTube นั้นมีความคล้ายคลึงกับการทำ SEO บนเว็บไซต์ นั่นก็คือการเลือกใช้คำหรือ Keywords ต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการทำ SEO บน YouTube นั้นยุ่งยากกว่าเล็กน้อย เนื่องจากคุณจะไม่สามารถปรับแต่งเนื่อหาในวิดีโอได้อีกถ้าหากคุณได้อัปโหลดวิดีโอลงแพลตฟอร์มแล้ว แต่คุณยังคงสามารถปรับแต่งองค์ประกอบอื่น ๆ ได่อยู่ เช่น ปกวิดีโอ, Title และ Description ดังนั้น ก่อนทำวิดีโอสำหรับการทำ YouTube SEO จึงควรมีการวางแผน ถ่ายทำ และตัดต่อให้ตรงความต้องการและน่าสนในตั้งแต่ต้น
SEO มีประโยชน์อย่างไร
หลังจากทำความรู้จักกับ SEO กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่า การทำ SEO นั้นสำคัญต่อธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคนี้ ที่ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการผ่านการค้นหาบน Search Engine อย่าง Google เป็นหลัก ดังนั้น การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ทำให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเว็บไซต์ของคุณปรากฎเป็นอันดับแรก ๆ ของหน้าแสดงผลการค้นหาใน Google ก็มีโอกาสที่ลูกค้าก็จะกดเข้าไปดูรายละเอียด เหมือนเป็นการโปรโมทธุรกิจอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ การทำ SEO ก็ยังช่วยเรื่องการจดจำแบรนด์ (Brand awareness) ได้อีกด้วย เพราะการที่ลูกค้าค้นหาข้อมูลด้วย Keyword หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง แล้วเว็บไซต์ของคุณแสดงในหน้าผลการค้นหาอันดับต้น ๆ ทำให้ลูกค้าเห็นแบรนด์ของคุณได้ในทันที ทำให้เกิดการจดจำแบรนด์ได้ และเมื่อลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ เมื่อถึงขั้นตอนของการตัดสินใจซื้อ ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ของคุณ ถือเป็นการเพิ่มยอดขายอีกหนึ่งช่องทาง ดังนั้นอย่าลืมให้ข้อมูลที่มีประโยชน์และมีคุณค่ากับลูกค้า รวมถึงปรับปรุงหน้าตาเว็บไซต์ให้เป็นมิตรต่อการใช้งานด้วยเช่นกัน