เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 กูเกิลเปิดตัว “Agentic AI Mode” ใน Search Labs ขับเคลื่อนด้วย Gemini 2.5 Pro AI ไม่เพียงสรุปผลแบบเดิม แต่ยังสามารถโทรเช็กข้อมูลธุรกิจ—ทั้งร้านอาหาร ร้านกรูมมิ่งสัตว์ และคลินิก—เพื่อดึงข้อมูลราคา ความพร้อมให้บริการ และโปรโมชั่นแบบเรียลไทม์ ก่อนจัดส่งสรุปฉบับย่อให้ผู้ใช้ทางอีเมลทันที
กูเกิลเผยรายละเอียดฟีเจอร์ “Agentic AI Mode” ใน Search Labs
- วันเปิดตัว: 17 กรกฎาคม 2568
- ธุรกิจที่รองรับ: ร้านอาหาร, สปาและสุขภาพ, บริการกรูมมิ่งสัตว์, งานซ่อมบำรุงบ้าน และค้าปลีก
- ระยะเวลาตอบกลับโดยเฉลี่ย: 2–5 นาที สำหรับคำถามทั่วไป และสูงสุด 15 นาที สำหรับคำขอที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
- ผลลัพธ์เบื้องต้น: ผู้ทดสอบลดการเข้าชมเว็บไซต์ด้วยตนเองลง 40%
ความสำคัญต่อธุรกิจ
- ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบภายในระบบของ Google โดยไม่ต้องคลิกออกไปยังเว็บไซต์ภายนอก
- เปลี่ยนทิศทาง SEO จากการมุ่งเน้นการสร้างลิงก์ มาเป็นการเตรียมความพร้อมด้านการให้บริการและการจัดโครงสร้างข้อมูล (Structured Data) อย่างครบถ้วน
หมายเหตุจากผู้เชี่ยวชาญ
กูเกิลระบุว่า “Agentic AI Mode คือก้าวต่อไปของการค้นหา ที่ AI จะลงมือทำงานให้เสร็จ ไม่ใช่เพียงแค่ส่งมอบลิงก์”
แนวทางปฏิบัติสำหรับนักการตลาด
- ตรวจสอบข้อมูลใน Google Business Profile ให้ครบถ้วน ทั้งหมายเลขโทรศัพท์ ชั่วโมงเปิด–ปิด และรายละเอียดบริการให้ถูกต้องแม่นยำ
- ติดตั้ง Structured Markup โดยใช้สคีมา FAQPage, HowTo และ LocalBusiness เพื่อให้ AI สามารถสกัดข้อมูลได้อย่างแม่นยำ
- ปรับสรุปเนื้อหา: วางสรุปสั้น 2–4 ประโยค พร้อมข้อความเรียกให้ดำเนินการ (CTA) ชัดเจนที่ด้านบนของหน้าเว็บหลัก
Q&A
ถาม: ธุรกิจต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้างสำหรับ Agentic AI Mode?
ตอบ: ธุรกิจควรยืนยันและอัปเดตข้อมูลใน Google Business Profile ให้ครบถ้วน—ทั้งพิกัดสถานที่ ชั่วโมงเปิด–ปิด และช่วงราคา—ผ่านสคีมา LocalBusiness เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ถาม: สคีมาใดมีความสำคัญสูงสุดสำหรับ Agentic AI Mode?
ตอบ: สคีมา FAQPage และ HowTo เป็นหัวใจสำคัญ ช่วยให้ AI สกัดขั้นตอนการให้บริการและคำถามยอดนิยมได้แม่นยำ พร้อม LocalBusiness schema ที่เจาะจงพิกัดและรายละเอียดธุรกิจแต่ละแห่งอย่างครบถ้วน
ถาม: จะวัดผลกระทบของ Agentic AI Mode ได้อย่างไร?
ตอบ: องค์กรสามารถวัดผลผ่านตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อัตราการออกจากหน้าเว็บที่ลดลง อัตราการเปิดอีเมล และอัตราการทำรายการสำเร็จ โดยอาศัย Google Analytics Events และการติดแท็ก UTM เฉพาะกิจกรรม